ในปื 2567 ที่ผ่านมา ราช กรุ๊ป ยังคง ขับเคลื่อนธุรกิจได้ก้าวหน้าตามเป้าหมาย ท่ามกลางความท้าทาย

นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์

ประธานกรรมการ

เรียน ท่านผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกท่าน

ในปี 2567 ที่ผ่านมา ราช กรุ๊ป ยังคงขับเคลื่อนธุรกิจได้ก้าวหน้าตามเป้าหมายท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยสำคัญภายนอกที่ส่งผลกระทบมายังภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตรในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อราคาพลังงานโลกและในประเทศ และการผลักดันมาตรการภาษีเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทั้งนี้ บริษัทฯยังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องบนบรรทัดฐานของธรรมาภิบาล ความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ เป็นที่น่ายินดีที่ปีนี้ บริษัทฯเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า 4 แห่ง ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าไพตันในประเทศอินโดนีเชีย กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 741.52 เมกะวัตต์ ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าอินโดนีเซีย (LPN)อายุสัญญาสิ้นสุดในปี 2585 โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ชุดที่ 1 จังหวัดราชบุรี กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น392.70 เมกะวัตต์ ได้ผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ภายได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 25 ปิโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังก้า ฟิลิปปินส์ กำลังผลิตตามสัตส่วนการถือหุ้น 36.30 เมกะวัตต์ โดยไฟฟ้าส่วนหนึ่งจำหน่ายให้กับกลุ่มบริษัท Aboitiz เป็นระยะเวลา 10 ปี และไฟฟ้าส่วนที่เหลือจะจำหน่ายในตลาดกลางไฟฟ้าของฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมอาร์อีเอ็น โคราช กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 12.48 เมกะวัตต์ ได้ผลิตกระแสไฟฟ้าจำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนครจังหวัดนครราชสีมา ทั้ง 4 โครงการดังกล่าว มีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนของบริษัทฯ รวม 1,183 เมกะวัตต์

ปี2567 บริษัทฯรับรู้กำลังการผลิตตามสัตส่วนการลงทุงทุนรวม 10,815 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตที่สร้างรายได้แล้วรวม 9,056 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ 87 และอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างรวม 1,759 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2568-2576 สำหรับกำลังการผลิตพลังงานทดแทนที่รับรู้ตามสัดส่วนการลงทุนในปี 2567 รวม 2,972.22 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ 27.48 ของกำลังการผลิตรวม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายสัดส่วนแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และแหล่งซื้อเพลิงฟอลซิลไว้ที่ 30:70ในปี 2573 และ 40.60.60 252578

ปรับกลยุทธ์รองรับโอกาสการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันนานาประเทศมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050 ปัจจุบันเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งบริษัทฯ ได้เริ่มเข้าในระบนิเวศดังกล่าว เพื่อศึกษาหนทางสร้างธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต

ในปีนี้บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจศึกษานวัตกรรมด้านพลังงานและโครงการที่มีศักยภาพต่าง ๆ ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงานทดแทนแบบระบบแบตเตอรี่ การผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (Small Modular Reactor: SMR) เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างพิจารณาทบทวนแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจและการลงทุนของบริษัทฯ เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มและทิศทางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลกและประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโอกาสขยายฐานธุรกิจหลักเดิม และแสวงหาธุรกิจหลักไหม่ข้ามาเสริม เพื่อขับเคลื่อนให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

เสริมรากฐานด้วยธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

บริษัทฯ ยังคงยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ในการดำเนินธุรกิจอย่าต่อเนื่อง โดยมุ่งหมายให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งนำมาตรฐานสากลและหลักปฏิบัติที่ดีที่สากลยอมรับ อาทิ การบริหารความเสี่ยง การต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชัปความปลอดภัยสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นต้น มาปฏิบัติใช้ในการพัฒนาและยกระดับกระบวนการทำงาน และการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียในปี 2567 บริษัทฯ ได้เริ่มนำระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social ManagementSystern: ESMS) เพื่อยกระดับและประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของบริษัทฯ และโครงการต่าง ๆ ให้เป็นระบบและทัดเทียมมาตรฐานที่อุตสาหกรรมยอมรับ นอกจากนี้ความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ยังเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ อันรวมถึงการรับรองให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ระยะเวลา 3 ปี (ปี 2568- 2570) การประเมิน CGR 2024 อยู่ที่ระดับ "ดีเลิศ" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9และการประเมิน SET ESG Ratings ปี 2567 อยู่ที่ระดับ "AAA"

คณะกรรมการฯ ในนามของบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)ขอแสดงความขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจ ที่ได้มอบความเชื่อมั่น ข้อเสนอแนะที่มีคุณค่า และการสนับสนุนด้วยดีตลอดมา บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในชุมชนและประเทศชาติให้ยั่งยืนต่อไป

นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์

ประธานกรรมการ