บริษัทฯ ยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ในปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อสร้างความเติบโตให้กับ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้บรรลุตามเป้าหมาย

นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์

ประธานกรรมการ

เรียน ท่านผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกท่าน

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อสร้างความเติบโตให้กับบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้บรรลุตามเป้าหมาย ด้วยปัจจัยกดดันทั้งด้านเชื้อเพลิงอันสืบเนื่องจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก และด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทุกภาคส่วนกำลังเผชิญและทุ่มเทความพยายามในการจัดการและลดก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและเชื้อเพลิงสะอาดใหม่ ๆ เพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง ตลอดจนการผลักดันโมเดลธุรกิจแบบ BCG และดิจิทัล ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสในการดำเนินธุรกิจและความยั่งยืนขององค์กร

การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ได้ยึด 3 แนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ ปี 2566-2570 ภายใต้กลยุทธ์ 3S ประกอบด้วย S1: Strength การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง โดยมุ่งเน้นบริหารประสิทธิภาพของสินทรัพย์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า ให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงความเป็นเลิศในการดำเนินงานและศักยภาพพนักงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรองรับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ S2: Synergy ผนึกกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตและเพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า และธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้าที่มีศักยภาพและมูลค่าสูงในอนาคต และ S3: Sustainability ดำเนินธุรกิจให้มีความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดแผนกลยุทธ์ความยั่งยืนในการผลักดันองค์กรไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจ และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายประเทศไทย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

ขยายธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บริษัทฯ ยังเดินหน้าลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างความมั่นคงให้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในปี 2566 โครงการที่กำลังพัฒนาและก่อสร้าง มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 2,944 เมกะวัตต์ และยังได้ขยายฐานการลงทุนในฟิลิปปินส์ ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนอย่างมาก โดยบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนารวม 4 โครงการ กำลังการผลิตตามการถือหุ้น รวม 549.83 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังก้า ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 36.33 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ บนเกาะเนโกรส กำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 73.5 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในอ่าวซานมิเกล และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซนา บนเกาะลูซอน กำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น ประมาณแห่งละ 220 เมกะวัตต์ ซึ่ง 3 โครงการหลังอยู่ระหว่างการพัฒนา

สำหรับโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์สร้างรายได้ให้บริษัทฯ ในปีที่ผ่านมา มี 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 31.20 เมกะวัตต์ และกำลังผลิตไอน้ำ 7.15 ตันต่อชั่วโมง และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในเวียดนาม กำลังผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 15.16 เมกะวัตต์

จนถึงสิ้นปีนี้ บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน รวมเป็น 10,848 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 1,061 เมกะวัตต์ และเป็นกำลังการผลิตที่สร้างรายได้ รวม 7,904 เมกะวัตต์ ส่วนกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งบริษัทฯ จะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567-2576 รวม 2,944 เมกะวัตต์ สำหรับกำลังผลิตพลังงานทดแทน เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 27 หรือ 2,974 เมกะวัตต์ ซึ่งบรรลุเป้าหมายปี 2566 ที่กำหนดไว้อย่างน้อยร้อยละ 20 ของกำลังผลิตรวม

ส่วนธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจบริการสุขภาพ โดยเข้าลงทุนร้อยละ 25 ในโรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหาร กำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2568 ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกับกลุ่มพริ้นซ์ แคปปิตอล ต่อเนื่องจากโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นอกจากนี้ ยังได้ร่วมทุนในบริษัท ราชเท็กซ์ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 60 เพื่อดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ (Solar PV Floating Systems) และโครงการติดตั้งโซลาร์บนหลังคา ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Private Purchase Agreement กับโรงพยาบาลของกลุ่มพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ รวม 6 แห่ง มีกำลังผลิตรวม 1.2 เมกะวัตต์ โดยดำเนินการผ่านบริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 51.67 รวมทั้งโครงการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาโรงงานอุตสาหกรรมในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา จำนวน 4 โครงการ กำลังผลิตรวม 8.4 เมกะวัตต์ ทางด้านโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง ได้เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แล้ว ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู อยู่ระหว่างการทดลองเดินรถให้บริการสำหรับบางช่วงสถานี โดยจะพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเชิงพาณิชย์ภายในปี 2567

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะขยายการลงทุนสู่ธุรกิจนวัตกรรมด้านพลังงาน ธุรกิจเชื้อเพลิงอนาคต อาทิ เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสีเขียว อีกทั้งยังสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 30 ในการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ครบวงจรและบริการขึ้นทะเบียนและการซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC)

การพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืน

บริษัทฯ ยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความเติบโตให้กับองค์กร ไปพร้อมกับสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างสมดุลระหว่างธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประกาศนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งมีการกำหนดแนวปฏิบัติที่ครอบคลุมกระบวนการศึกษาความเหมาะสมในการลงทุนโครงการและการควบรวมและซื้อกิจการ และการประเมินคู่ค้าสำคัญทางธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้รับการบริหารจัดการและป้องกันอย่างรัดกุม อีกทั้งประกาศใช้จรรยาบรรณคู่ค้า เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและแนวปฏิบัติให้กับคู่ค้าโดยยึดหลักจริยธรรมทางธุรกิจ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน ที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้พัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Management System: ESMS) เพื่อเป็นหลักปฏิบัติด้านการจัดการประเด็นสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สำคัญต่อธุรกิจ ครอบคลุมทุกขั้นตอนของโครงการตั้งแต่การพัฒนา การก่อสร้าง การดำเนินงาน และการรื้อถอนโครงการ ด้านสิทธิมนุษยชน บริษัทฯ ได้ทำการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนของกลุ่มพนักงาน ตามกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) ซึ่งผลการประเมินสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดีในด้านสิทธิมนุษยชนของกลุ่มบริษัทฯ พร้อมทั้งมีการพัฒนาระบบการจัดการกำหนดเป้าหมายให้การร้องเรียนหรือละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนต้องเป็นศูนย์ ทั้งในกิจการที่บริษัทฯ มีอำนาจบริหารจัดการ ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน และเปิดช่องทางในการร้องเรียนบนเว็บไซต์บริษัทฯ www.ratch.co.th เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงและเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย

การดำเนินงานของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากทั้งผู้มีส่วนได้เสียและสังคมในวงกว้าง สะท้อนได้จากรางวัลและคะแนนการประเมินของสถาบันต่าง ๆ อาทิ รางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส ปี 2565 จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) รางวัลเชิดชูเกียรติ CHIEF INNOVATION OFFICER (CIO) จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) รางวัลการประเมินการกำกับดูแลกิจการที่ดี ประจำปี 2566 ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ที่ระดับดีเลิศ 5 ดาว และผลการประเมิน SET ESG Ratings ปี 2566 ที่ระดับ AA จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในนามของคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน และบุคลากรทุกคนของราช กรุ๊ป ขอขอบคุณผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่ธุรกิจทุกท่าน ที่ได้ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ มาโดยตลอด บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนและดำเนินธุรกิจไปสู่เป้าหมายการเป็นบริษัทชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับส่งเสริมคุณค่าร่วมแก่สังคม และดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นพลังสร้างสรรค์อนาคตและความเติบโตให้กับองค์กรได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์

ประธานกรรมการ