โครงสร้างการกำกับดูแลการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
หน่วยงาน บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
คณะกรรมการบริษัทฯ
  • บูรณาการประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในระบบการบริหารความเสี่ยงองค์กร การควบคุมภายใน กลยุทธ์ธุรกิจ และเป้าหมาย
  • กำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ทิศทาง และกลยุทธ์การดำเนินงานที่รองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และมุ่งสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
  • ให้ความเห็นชอบกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งตัวชี้วัดและเป้าหมายที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของบริษัทฯ
  • กำกับดูแลและชี้แนะแนวทางการดำเนินกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนปฏิบัติการและเป้าหมายของบริษัทฯ และติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม
  • ติดตามความก้าวหน้าเทียบกับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและคณะกรรมการตรวจสอบ
คณะกรรมการ
บริหารความเสี่ยง
  • รวบรวมประเด็นโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในการประเมินและการบริหารความเสี่ยงองค์กร
  • กำกับดูแลและติดตามประสิทธิภาพของระบบการบริหารความเสี่ยง ระบบควบคุมภายใน รวมทั้งความสอดคล้องของกลยุทธ์ และเป้าหมายทางธุรกิจกับกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
คณะกรรมการ
ธรรมาภิบาล
และความยั่งยืน
  • กำกับดูแลและติดตามความก้าวหน้าการดเนินงานตามแผนกลยุทธ์ความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสในระดับองค์กร
  • ให้ความเห็นและชี้แนะแนวทางกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแผนงานและเป้าหมายที่ตอบสนองต่อกลยุทธ์ พร้อมทั้งนำเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาเห็นชอบ
คณะกรรมการ
กลั่นกรองการลงทุน
  • กำกับดูแลการประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการพิจารณาการลงทุนโครงการ รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสในระดับโครงการและองค์กร
คณะกรรมการ
ตรวจสอบ
  • ติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้พร้อมให้ข้อเสนอแนะ
กรรมการผู้จัดการใหญ่
  • นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการบริษัทมาสู่การปฏิบัติ โดยจัดทำแผนปฏิบัติที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ติดตามประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความก้าวหน้าของการปฏิบัติตามแผนงาน เทียบกับเป้าหมายที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติไว้
รองกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่
พัฒนาธุรกิจไฟฟ้า
  • บูรณาการประเด็นความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility) และการตรวจสอบสถานะและประเมินทรัพย์สิน (Due diligence) เพื่อประกอบการพิจารณาลงทุน
  • พิจารณาคัดเลือกคู่ค้าที่มีการดำเนินงานด้าน ESG และติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในช่วงของารก่อสร้างโครงการ
ผู้ช่วยกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่
ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
และธุรกิจใหม่
  • บูรณาการประเด็นด้านความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในการพัฒนาหรือร่วมลงทุนโครงการในธุรกิจเกี่ยวเนื่องและธุรกิจใหม่ (Non-power)
  • บริหารจัดการโครงการและเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
รองกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่
บริหารสินทรัพย์
  • ควบคุมดูแลประสิทธิภาพของระบบการบริหารความเสี่ยงองค์กร การดำเนินงานสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลของกลุ่มบริษัทฯ (รวมบริษัทย่อยและบริษัทร่วม)
  • ติดตามผลการจัดการก๊าซเรือนกระจก และการบริหารความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโรงไฟฟ้า/สินทรัพย์
รองกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่
การเงิน
  • จัดหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนา/ลงทุนโครงการสีเขียวหรือโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของกลุ่มบริษัทฯ
  • ติดตามผลการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของเจ้าหนี้ มาตรฐานทางบัญชี และการรายงานการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผู้ช่วยกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่
บริหารองค์กร
  • ขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการปฏิบัติตามแผนที่นำทาง และเป้าหมายของบริษัทฯ และกิจการที่บริษัทฯ มีอำนาจบริหารจัดการ (Operational Control)
  • ติดตามการดำเนินงาน ความก้าวหน้าของแผนงานและเป้าหมาย พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการและหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง
ฝ่ายตรวจสอบภายใน
  • ตรวจประเมินความครบถ้วนและเพียงพอของการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้สอดคล้องตามกลยุทธ์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ และรายงานต่อกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะกรรมการตรวจสอบทราบ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นประเด็นที่สำคัญของภาคธุรกิจพลังงานและไฟฟ้า ซึ่งผู้มีส่วนได้เสียมีความต้องการและคาดหวังให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจนี้ดำเนินการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อช่วยจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้น และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการจัดทำกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งหมายที่จะไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งคณะกรรมการบริษัทฯ ได้เห็นชอบและให้ดำเนินการศึกษาแนวทางและวิธีการที่มีความเป็นไปได้ในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อนำมาจัดทำเป็นแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization Roadmap) และกำหนดเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทย

นอกจากนี้ กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังจะใช้เป็นแนวทางดำเนินงานเพื่อตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Responsible Consumption & Production) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) ด้วย

กลยุทธ์การตอบสนองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กลยุทธ์ การดำเนินงานปี 2567 ตอบสนองเป้าหมาย SDGs
การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในองค์กร
  • บูรณาการการประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไว้กับการประเมินความเสี่ยงองค์กร ซึ่งคณะทำงานบริหารความเสี่ยงได้รวมประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในความเสี่ยงองค์กร และความเสี่ยงโครงการ โดยได้นำเสนอผลการประเมินความเสี่ยงแก่คณะกรรมการ บริหารความเสี่ยงพิจารณา รวม 5 ครั้ง
  • การศึกษาวิธีการกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing-ICP) เพื่อใช้เป็นราคาเงาประกอบการพิจารณาลงทุนโครงการ และใช้เป็นต้นทุนในการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจก ผลการศึกษาเบื้องต้นได้กำหนดช่วงราคาคาร์บอนไว้ที่ 5.6-15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์
  • ให้รางวัลแก่พนักงานที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการประกวดโครงการบ้านประหยัดพลังงาน เพื่อสร้างเสริมความตระหนักและแรงจูงใจในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า

เป้าหมายที่ 12: สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

  • 12.2 บรรลุการจัดการที่ยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี 2573
  • 12.8 สร้างหลักประกันว่าประชาชนในทุกแห่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องและความตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนและวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ภายในปี 2573

เป้าหมายที่ 13: ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น

  • 13.1 เสริมภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในทุกประเทศ
  • 13.3 พัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และขีดความสามารถของมนุษย์และของสถาบันในเรื่องการลดผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเตือนภัยล่วงหน้า
การประสานความร่วมมือกับภายนอก
  • โรงไฟฟ้าราชบุรีจัดประกวดโครงการประหยัดพลังงานปี 2567 เพื่อให้เกิดการสร้างความตระหนักในการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดค่าใช้จ่ายและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีการพิจารณาให้รางวัลโครงการที่อยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม ระดับดี และรางวัลชมเชย ที่มีศักยภาพในการลดใช้พลังงาน ระยะเวลาคืนทุนสั้น และเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด รวม 4 โครงการ
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
  • ทบทวน และติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน ช่วยลดต้นทุนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคณะทำงาน ฝ่ายบริหาร และคณะกรรมการธรรมาภิบาลและความยั่งยืน
  • การให้ผลตอบแทนจูงใจ (incentive) แก่คู่ค้าผู้ให้บริการงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาของโรงไฟฟ้าที่สามารถลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและพลังงานให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ เช่น อัตราการใช้ความร้อนรายปี เป็นต้น
การลงทุนในธุรกิจสีเขียวและพลังงานทดแทน
  • ดำเนินการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 1,391.12 เมกะวัตต์
  • ศึกษาการพัฒนาและผลิตเชื้อเพลิงกรีนไฮโดรเจนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจศึกษาเทคโนโลยีการผลิต และความเป็นไปได้ทางธุรกิจ
  • ร่วมทุนในบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เพื่อเป็นแกนหลักลงทุนในธุรกิจที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
  • โรงไฟฟ้าราชบุรีร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทำการศึกษาการแปรสภาพของเหลือใช้จากอุตสาหกรรมมะพร้าวน้ำหอมในจังหวัดราชบุรี ให้เป็นถ่านเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนแทนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินในการผลิตพลังงานไฟฟ้า และพัฒนาเป็นธุรกิจในอนาคต
การชดเชย/ซื้อ-ขายคาร์บอน
  • ร่วมมือกับกรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และป่าชุมชน เพื่อดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย ทั้งการปลูกป่าบก ป่าชายเลน และส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าชุมชน เพื่อเพิ่มและอนุรักษ์พื้นที่ป่าสำหรับกักเก็บก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งประเมินปริมาณคาร์บอนเครดิต ที่สามารถนำมาใช้ชดเชยคาร์บอนของบริษัทฯ หรือซื้อขายคาร์บอนในอนาคต
การประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ กำหนดให้มีการทบทวนประเด็นความเสี่ยงตามกรอบมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Task Force on Climate-Related Financial Disclosures: TCFD) ทุก ๆ 3 ปี ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ทำการทบทวนผลการประเมินความเสี่ยงตามกรอบมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) ของกิจการที่ลงทุนและดำเนินการในประเทศไทย ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม จำนวน 22 โครงการที่ดำเนินการ เมื่อปี 2566 สำหรับความเสี่ยงด้านกายภาพ (Physical Risks) ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั้งแบบฉับพลัน (Acute) และแบบสะสม/ค่อยเป็นค่อยไป (Chronic) และความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย กฎหมายหรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มาตรการการจัดการความเสี่ยงมีการดำเนินการเพิ่มเติม สรุปได้ดังนี้

ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเด็นความเสี่ยงด้านกายภาพ
ประเภทความเสี่ยง ความเสี่ยงแบบฉับพลัน (Acute) ความเสี่ยงแบบสะสมหรือค่อยเป็นค่อยไป (Chronic)
เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
  • เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง เช่น พายุ น้ำท่วม เป็นต้น
  • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว เช่น อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น หรือการเกิดคลื่นความร้อน เป็นต้น
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
  • น้ำท่วมซึ่งทำให้เกิดการทับถมของตะกอนดินภายในเขื่อนที่เป็นอันตรายหรือสร้างความเสียหายต่อเครื่องกังหันน้ำที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า
  • ความตึงเครียดของน้ำหรือน้ำแล้งอาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ หรือไม่มีน้ำใช้ในการเดินเครื่องผลิตพลังงานไฟฟ้า
  • เกิดฟ้าผ่าจนทำให้การผลิตไฟฟ้าหยุดชะงักและสร้างความเสียหายต่อระบบการผลิตพลังงานไฟฟ้า
  • คลื่นความร้อนอาจส่งผลให้ความสามารถของผู้ปฏิบัติงานและประสิทธิภาพของเครื่องจักรในการผลิตพลังงานไฟฟ้าลดลง
การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านกายภาพ

ฉากทัศน์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านกายภาพของกิจการที่บริษัทฯ ควบคุมการบริหารในประเทศไทย ออสเตรเลียเวียดนาม และอินโดนีเซีย กำหนดไว้ 2 แนวทาง โดยพิจารณาระดับผลกระทบที่น้อยที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่ 1.6 องศาเซลเซียส (RCP 2.6) และระดับผลกระทบที่มากที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่4.3 องศาเซลเซียส (RCP 8.5) ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050)

สำหรับประเด็นผลกระทบพิจารณาจากระดับนัยสำคัญที่มีต่อองค์กร 6 ด้าน ดังนี้ (1) การเงิน (2) สุขภาพ/ความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อม (3) พันธมิตร/ลูกค้า (4) กฎหมายและข้อกำหนดต่าง ๆ (5) ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ (6) ความสำเร็จในเป้าหมาย และพิจารณาให้ระยะเวลาที่จะเกิดผลกระทบเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น: ภายใน 2 ปี, ระยะกลาง: 3-5 ปี และระยะยาว: 6-10 ปี

สรุปผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านกายภาพ
ปัจจัยความเสี่ยงด้านกายภาพ: ภัยแล้ง
การคาดการณ์ผลกระทบ การขาดแคลนน้ำหรือปริมาณน้ำใช้ที่มีจำกัดทำให้ไม่เพียงพอต่อการผลิตพลังงานไฟฟ้า ส่งผลกระทบต่อการผลิตและรายได้หลักของกลุ่มบริษัทฯ
ระยะเวลาเกิดผลกระทบ ระยะสั้น - ระยะยาว
ผลการประเมิน จำนวนวันที่เกิดภาวะแห้งแล้งติดต่อกันมากที่สุดในออสเตรเลียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากที่สุด (8%) ทั้งภายใต้ฉากทัศน์ RCP 2.6 และ 8.5 ในปี 2030 และ ปี 2050 ตามลำดับ
มาตรการจัดการ
  • การลงทุนสร้างแหล่งน้ำสำรอง และจัดหาแหล่งน้ำฉุกเฉินในกรณีที่ปริมาณน้ำดิบจากแหล่งน้ำหลักมีไม่เพียงพอของกลุ่มกิจการที่บริษัทฯ มีอำนาจบริหารจัดการ
  • การพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้น้ำน้อยลง หรือเปลี่ยนเป็นการผลิตพลังงานทดแทน เช่น โครงการพลังงานลม และแสงอาทิตย์ในประเทศออสเตรเลีย ที่พบความเสี่ยงจากภัยแล้งในระดับสูง ทั้งในระยะสั้นถึงระยะยาวตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป
  • โรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ตั้งในภาคตะวันออกของประเทศไทย จัดทำแผนฉุกเฉินในภาวะขาดแคลนน้ำดิบสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำดิบแบบฉุกเฉิน และเป็นการป้องกันความเสียหายของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ด้วยการใช้น้ำจากบ่อหน่วงน้ำ (Storm Water Pond) การลดการระบายความร้อน (ไอน้ำ) การปรับเพิ่มรอบการใช้น้ำในระบบหล่อเย็น และประสานงานไปยังศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ (กฟผ.) เพื่อปรับแผนการผลิต พร้อมจัดหาน้ำดิบจากหน่วยงานภายนอกอื่น เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเบื้องต้น
  • เพิ่มมาตรการและกำหนดเป้าหมายการใช้น้ำ เช่น การใช้น้ำหมุนเวียนในระบบหล่อเย็น เป็นต้น
  • ศึกษาข้อมูลปริมาณน้ำฝนย้อนหลัง (สถิติฝน 100 ปี) และคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน เพื่อประเมินความเสี่ยงและผลกระทบในขั้นตอนการจัดทำ EIA/ขั้นตอนของการคัดเลือกพื้นที่ตั้งโครงการ
ปัจจัยความเสี่ยงด้านกายภาพ: น้ำท่วม
การคาดการณ์ผลกระทบ เกิดน้ำท่วมสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน อุปกรณ์เครื่องจักรสำคัญที่มีมูลค่าสูง และมีผลกระทบต่อการผลิตและระบบสายส่ง
ระยะเวลาเกิดผลกระทบ ระยะสั้น - ระยะกลาง
ผลการประเมิน จำนวนวันสูงสุดที่เกิดฝนตกหนักในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นมากที่สุด ภายใต้ฉากทัศน์ RCP 8.5 ในปี 2050
มาตรการจัดการ
  • สร้างอ่างเก็บน้ำฝน ระบบระบายน้ำและกักเก็บน้ำเพื่อบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน หรือการเกิดน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในกรณีขาดแคลนน้ำได้ด้วย
  • เชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อติดตามสถานการณ์ระดับน้ำ
  • ศึกษาข้อมูลปริมาณน้ำฝนย้อนหลัง เช่น สถิติน้ำฝน 100 ปี และคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน เพื่อประเมินความเสี่ยงและผลกระทบในขั้นตอนการจัดทำ EIA/ขั้นตอนของการคัดเลือกพื้นที่ตั้งโครงการ
ปัจจัยความเสี่ยงด้านกายภาพ: สภาพอากาศสุดขั้ว
การคาดการณ์ผลกระทบ
  • สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องจักรและอุปกรณ์
  • ทำให้เกิดการบาดเจ็บของผู้ปฏิบัติงานเนื่องจากวัสดุตกใส่
  • การเกิดฟ้าผ่าที่สร้างความเสียหายระบบส่งไฟฟ้า และพายุลูกเห็บที่สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน
ระยะเวลาเกิดผลกระทบ ระยะยาว
ผลการประเมิน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะความเร็วลมในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงสุดภายใต้ฉากทัศน์ RCP 8.5 ในปี 2050
มาตรการจัดการ ความเสี่ยงนี้ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อบริษัทฯ ทั้งในกรณีที่จะสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานการบาดเจ็บของผู้ปฏิบัติงาน หรือการเกิดฟ้าผ่าที่มีผลต่อระบบส่งไฟฟ้า ดังนั้น การจัดการจึงยึดถือปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA
การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks)
ประเภทความเสี่ยง ประเด็น ลักษณะผลกระทบ
การตลาด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค/ลูกค้า ลูกค้าต้องใช้แหล่งพลังงานทดแทนและบริการที่ให้การรับรองการใช้พลังงานทดแทนเพื่อจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 2
กฎหมายและข้อกำหนด การเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมาย กฎระเบียบและนโยบาย การประกาศใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดทำแผนการผลิตพลังงานทดแทนที่บังคับให้ภาคพลังงานต้องลงทุนเพิ่มเพื่อลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์และบริการใหม่มาทดแทน เช่น พลังงานทดแทนในรูปแบบใหม่ ระบบบริหารจัดการพลังงาน เป็นต้น
ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงชุดความคิดของผู้มีส่วนได้เสีย กลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะสถาบันการเงิน นักลงทุน ให้ความสนใจการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขององค์กรมากขึ้น และบางรายยกเลิกการลงทุนหรือลดการให้เงินกู้โครงการผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

บริษัทฯ ได้ใช้ 3 ฉากทัศน์ คือ นโยบายภาครัฐ (State Policy Scenario) การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Scenarios: SDS) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission Scenarios: NZE) ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเด็นผลกระทบพิจารณาจากระดับนัยสำคัญที่มีต่อองค์กร 6 ด้าน ดังนี้ (1) การเงิน (2) สุขภาพ/ความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อม (3) พันธมิตร/ลูกค้า (4) กฎหมายและข้อกำหนดต่าง ๆ (5) ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ (6) ความสำเร็จในเป้าหมาย และระยะเวลาที่จะเกิดผลกระทบใน 3 ช่วงเวลา คือ ระยะสั้น 0 - 2 ปี, ระยะกลาง 3 - 5 ปี และระยะยาว 6-10 ปี

ผลการวิเคราะห์

ประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายจากการที่ภาครัฐจะบังคับใช้ภาษีคาร์บอน เพื่อควบคุมหรือจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกิจการที่ผลิตไฟฟ้า หรือต้นทุนในการผลิตเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนปริมาณการผลิตไฟฟ้าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งความเสี่ยงนี้อาจจะเกิดขึ้นในระยะกลาง 3-5 ปี

มาตรการการจัดการความเสี่ยง

  • กำหนดกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและจัดทำแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593
  • บริษัทฯ กำหนดเป้าหมายการลงทุนกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 30 ในปี 2573 และร้อยละ 40 ในปี 2578
  • การลงทุนหรือเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ใช้พลังงานทดแทนหรือโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีการใช้เทคโนโลยีหรือระบบในการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกอยู่แล้ว โดยหลีกเลี่ยงหรือยกเลิกการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน
  • กำหนดเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ นวัตกรรมและพลังงานในอนาคต เช่น ไฮโดรเจน การจัดการประสิทธิภาพพลังงาน ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและเกี่ยวเนื่อง เป็นต้น
  • กำหนดเป้าหมายการชดเชยคาร์บอนจากการปลูก ฟื้นฟู และอนุรักษ์ป่าไม้ และเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนภายในมากขึ้น

ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ทบทวนประเด็นความเสี่ยงและดำเนินการประเมินความเสี่ยงและโอกาสตามหลักชี้แนะ TCFD ทั้งความเสี่ยงด้านกายภาพแบบฉับพลัน (Acute) และแบบสะสม/ค่อยเป็นค่อยไป และความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่านที่อาจมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และข้อกฎหมาย รวมทั้งเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยไม่พบการเปลี่ยนแปลง

การวิเคราะห์โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านทั้งด้านการตลาด เทคโนโลยี กฎหมายและข้อกำหนด นอกจากจะสร้างส่งผลกระทบเชิงลบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ แล้ว ในทางตรงกันข้ามยังสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทฯ ได้ด้วย โดยบริษัทฯ ได้ทบทวนแผนกลยุทธ์และวางเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำและนอกภาคพลังงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสีเขียว ธุรกิจในห่วงโซ่ยานยนต์ไฟฟ้า การลงทุนโครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ พลังงานลม ระบบกักเก็บพลังงานจากพลังงานทดแทน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการติดตั้ง การผลิตไฟฟ้า และการบำรุงรักษาระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เสริมสร้างศักยภาพบุคลากรที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับหลักชี้แนะของ TCFD การประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประเมินและคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรขอบเขตที่ 1-3 วิธีการกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร การเปิดเผยข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามมาตรฐาน IFRS (S2) ตลอดจนความรู้ความเข้าใจสถานการณ์และผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้เริ่มบูรณาการกับการบริหารความเสี่ยงองค์กร และยังกำหนดเป็นตัวชี้วัดการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของฝ่ายวางแผนและพัฒนาระบบงานและทุกสายงานจะร่วมกันดำเนินงานผ่านคณะทำงานบริหารความเสี่ยง คณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) และคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งผลการดำเนินงานจะรายงานให้ฝ่ายบริหาร คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการกลั่นกรองการลงทุน คณะกรรมการธรรมาภิบาลและความยั่งยืน และคณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาและทราบ ตามลำดับ สำหรับฝ่ายตรวจสอบภายใน จะดำเนินการตรวจสอบประสิทธิภาพและความเพียงพอของระบบการบริหารความเสี่ยง และรายงานผลให้คณะกรรมการตรวจสอบ พิจารณาและทราบต่อไป

เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก
แนวทางการจัดการ GHG เป้าหมายปี 2578
(ค.ศ.2035)
เป้าหมายปี 2573
(ค.ศ. 2030)
ผลการดำเนินงานปี 2567
1. กำหนดสัดส่วนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้า
  • สัดส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล 60%
  • สัดส่วนพลังงานทดแทน 40%
  • สัดส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล 70%
  • สัดส่วนพลังงานทดแทน 30%
  • สัดส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล 72.5%
  • สัดส่วนพลังงานทดแทน 27.5%
2. การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกลดลง 10 MtCO2e คิดเป็น 100% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลดลง 25% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกลดลง 6 MtCO2e คิดเป็น 70% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกลดลง 3.36 MtCO2e คิดเป็น 38.6% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลดลง 28.9% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558
3. การเพิ่มการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บได้ 76,000 tCO2e
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บได้ 55,000 tCO2e
  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บได้ 6,804 tCO2e
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ดาวน์โหลด
การเปิดเผยข้อมูลตามกรอบ TCFD
ดาวน์โหลด