เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความก้าวหน้าและความสำเร็จที่เกิดขึ้น ไม่เพียงตอบสนองเป้าหมายภายในขององค์กรเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ที่สามารถสร้างผลกระทบในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในวงกว้างด้วย

เป้าประสงค์ ภาพรวมการดำเนินงาน
เป้าหมายที่ 3 สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย

เป้าประสงค์ 3.8 การเข้าถึงการบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ และเข้าถึงยาและวัคซีนที่ปลอดภัย มีประสิทธิผล มีคุณภาพ และมีราคาที่สามารถซื้อหาได้

  • การเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่ง ในสัดส่วนร้อยละ 25 คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร และโรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหาร ซึ่งมุ่งเน้นให้บริการประชาชนในเมืองรอง เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพในราคาที่รับได้ สำหรับโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร เป็นโรงพยาบาลตติยภูมิ ขนาด 59 เตียง เพื่อให้บริการแก่ประชาชนใน 3 จังหวัด และสปป. ลาว เปิดให้บริการเมื่อปี 2566

    ส่วนโรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหาร ขนาด 59 เตียง เป็นโรงพยาบาลต้นแบบดิจิทัล แพลตฟอร์ม และสมาร์ทฮอสปิตอลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้บริการรักษาโรคทั่วไปและโรคยากซับซ้อน แก่ประชาชนในจังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งชาวลาว เปิดให้บริการ เมื่อเดือนธันวาคม 2567
  • การให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่แก่ชุมชนของโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อให้ชุมชนเข้าถึงการรักษามากขึ้น ทั้งนี้ ชุมชนได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและทำการตรวจรักษาจากสำนักการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
    ในปี 2567 มีประชาชน 2,727 คน เข้ารับบริการตรวจสุขภาพของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
  • ร่วมลงทุนในโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ในสัดส่วนร้อยละ 10 ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท ราช-ลาว เซอร์วิส จำกัด เป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับตติยภูมิใน สปป. ลาว เปิดให้บริการเมื่อปี 2564 จำนวน 110 เตียง มุ่งเน้นให้บริการประชาชนชาวลาว และประเทศใกล้เคียง
เป้าหมายที่ 4 สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เป้าประสงค์ 4.4 เพิ่มจำนวนเยาวชนและผู้ใหญ่ที่มีทักษะที่จำเป็น รวมถึงทักษะทางเทคนิคและอาชีพ สำหรับการจ้างงาน การมีงานที่ดี และการเป็นผู้ประกอบการ ภายในปี 2573

การดำเนินโครงการการศึกษาเสริมทักษะเสริมอาชีพ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา สปป. ลาว ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาของสปป. ลาว ในสาขาไฟฟ้าควบคุม เชื่อมโลหะ เครื่องจักรกล การซ่อมทั่วไป และพลังงานทดแทน กิจกรรมที่ได้ดำเนินการ ประกอบด้วย การสนับสนุนการฝึกอบรมแก่ครูอาชีวศึกษาในสาขาวิชาเป้าหมาย การสนับสนุนการฝึกอบรมแก่นักศึกษา การจัดศึกษาดูงาน การสนับสนุนทุนการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงแก่ครูในสถานศึกษา การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม สนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ฝึกอบรมที่ทันสมัยและพัฒนาห้องปฏิบัติการฝึกอบรม และการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้กับชุมชนในพื้นที่ มีสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ 7 สถาบัน

การดำเนินงานตั้งแต่ปี 2554-2567 บริษัทฯ ได้สนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาระดับสูง (ปวส.) และปริญญาตรี รวม 50 ทุน ฝึกทักษะฝีมือนักเรียนอาชีวศึกษาชั้นปีสุดท้ายในสาขาวิชาเป้าหมาย รวม 1,646 คน การอบรมครูรวม 134 คน และพัฒนาหลักสูตรและห้องปฏิบัติการสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในโรงเรียนเป้าหมาย ทั้งนี้ นักเรียนที่ผ่านการฝึกอบรมเข้มในโครงการ 872 คน ได้รับการจ้างงาน และ 405 คนเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น

เป้าหมายที่ 7 สร้างหลักประกันว่าทุกคนเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ในราคาที่สามารถซื้อหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน

เป้าประสงค์ 7.2 เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในการผสมผสานการใช้พลังงานของโลกภายในปี 2573

การลงทุนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ตามแผนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนถึงปี 2567 สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่ลงทุนแล้วในประเทศไทย สปป. ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นเป็น 2,972.22 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 27.48 ของกำลังการผลิตรวมทั้งหมด และปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่จำหน่ายในปี 2567 รวม 4,307,864 เมกะวัตต์-ชั่วโมง พร้อมกันนี้ยังกำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทนให้ได้ ร้อยละ 30 และ 40 ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และปี 2578 ตามลำดับ

เป้าหมายที่ 8 ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่และมีผลิตภาพ และการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน

เป้าประสงค์ 8.7 ดำเนินมาตรการโดยทันทีและมีประสิทธิภาพเพื่อขจัดแรงงานบังคับ ยุติความเป็นทาสสมัยใหม่และการค้ามนุษย์ และยับยั้งและกำจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งรวมถึงการเกณฑ์และการใช้ทหารเด็ก และยุติการใช้แรงงานเด็กในทุกรูปแบบในปี 2568

เป้าประสงค์ 8.8 ปกป้องสิทธิแรงงานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับผู้ทำงานทุกคน รวมถึงผู้ทำงานต่างด้าว โดยเฉพาะหญิงต่างด้าว และผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย

  • การประกาศใช้นโยบายสิทธิมนุษยชน และจรรยาบรรณคู่ค้า พร้อมกำกับการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้สอดคล้องตามนโยบายอย่างเคร่งครัด โดยกำหนดเป้าหมายไม่ให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกกลุ่มผู้ทรงสิทธิที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน รวมถึงการไม่ใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับทุกรูปแบบ ในปี 2567 ไม่มีการร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนจากทุกกลุ่มผู้ทรงสิทธิ และไม่มีการใช้แรงงานเด็ก
  • การกำหนดหลักปฏิบัติด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของพนักงานและคู่ค้า โดยประกาศใช้ระเบียบวิธีปฏิบัติงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ครบถ้วน ทุกกิจการได้มีการประเมินความเสี่ยง หลักเกณฑ์การขออนุญาตเข้าทำงาน การควบคุมการทำงาน และการตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ไม่เกิดการบาดเจ็บหรือโรคจากการทำงานทั้งกับพนักงานและคู่ค้า
เป้าหมายที่ 12 สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

เป้าประสงค์ 12.5 ลดการเกิดของเสียโดยการป้องกัน การลด การแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ และการนำมาใช้ซ้ำ ภายในปี 2573

เป้าประสงค์ 12.6 สนับสนุนให้บริษัท โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติและบริษัทขนาดใหญ่ รับแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนไปใช้ และผนวกข้อมูลด้านความยั่งยืนลงในวงจรการรายงานของบริษัทเหล่านั้น

  • การใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดปริมาณของเสียที่แหล่งกำเนิด บริหารจัดการของเสียที่เกิดขึ้นและใช้วิธีการกำจัดที่เหมาะสมและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด โดยกำหนดเป้าหมายปริมาณการใช้น้ำดิบต่อหน่วยไฟฟ้าสุทธิที่ผลิตจำหน่ายของโรงไฟฟ้าราชบุรี ลดลงร้อยละ 1 และรักษาอัตราการใช้ความร้อนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของแต่ละโรงไฟฟ้าเป็นไปตามที่กำหนด ในปี 2567 ปริมาณการใช้น้ำดิบต่อหน่วยไฟฟ้าสุทธิของโรงไฟฟ้าราชบุรี ลดลงร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับปี 2566 และอัตราการใช้ความร้อนของโรงไฟฟ้า 4 แห่ง (ร้อยละ 50) เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
  • สำหรับการลดของเสีย ในปี 2567 โรงไฟฟ้าสงขลาไบโอ แมส ได้จัดการของเสียเศษรากไม้ เพื่อนำกลับมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าสงขลาไบโอ แมส ได้ร้อยละ 2.5 ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งอื่น ๆ ได้เลือกวิธีการกำจัดของเสีย (Disposal) ผ่านบริษัทให้บริการกำจัดของเสียที่ใช้วิธีการ Reuse หรือ Recycle เป็นลำดับแรก ที่เหลือจึงเลือกใช้วิธีการเผาแบบที่ได้พลังงานและไม่ได้พลังงานตามลำดับ โดยหลีกเลี่ยงการนำขยะอันตรายไปฝังกลบ ส่งผลให้ปริมาณขยะอันตรายที่นำไปฝังกลบ ลดลง ร้อยละ 92
  • จัดทำรายงานความยั่งยืนตามกรอบการรายงานของ GRI เพื่อเปิดเผยการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกลุ่มบริษัทฯ พร้อมทั้งขอรับการรับรองความเชื่อมั่นจากผู้ทวนสอบภายนอก เป็นประจำทุกปี
เป้าหมาย 13 ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น

เป้าประสงค์ที่ 13.3 พัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และขีดความสามารถของมนุษย์และของสถาบันในเรื่องการลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัว การลดผลกระทบ และการเตือนภัยล่วงหน้า

  • การขับเคลื่อนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และดำเนินการตามแผนที่นำทางเพื่อลดการปล่อยและเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรของกลุ่มบริษัทฯ ในเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร การดำเนินงานตามกรอบ TCFD และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดของร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การกำหนดหลักปฏิบัติด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของพนักงาน และคู่ค้า โดยประกาศใช้ระเบียบวิธีปฏิบัติงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ครบถ้วน ทุกกิจการได้มีการประเมินความเสี่ยง หลักเกณฑ์การขออนุญาตเข้าทำงาน การควบคุมการทำงาน และการตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ไม่เกิดการบาดเจ็บหรือโรคจากการทำงานทั้งกับพนักงานและคู่ค้า
  • ความร่วมมือกับชุมชนในการร่วมกันลดปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการส่งเสริมให้ความรู้และสนับสนุนกิจกรรมการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ในปี 2567 ได้สานต่อความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ ในการปลูกป่าบกและป่าชายเลน เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าและแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการสนับสนุนให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต รวมทั้งสนับสนุนชุมชนในการอนุรักษ์ป่าไม้ ผ่านโครงการคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ในลักษณะของการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ การพัฒนา ฟื้นฟูดูแลรักษาป่าและระบบนิเวศของป่าชุมชน ให้สมบูรณ์ เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ช่วยดูดซับฝุ่น และลดความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติด้วย
เป้าหมายที่ 14 อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเลและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

เป้าประสงค์ 14.2 บริหารจัดการและปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่มีนัยสำคัญ รวมถึงการเสริมภูมิต้านทานและปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟู เพื่อบรรลุการมีมหาสมุทรที่มีสุขภาพดีและมีผลิตภาพ ภายในปี 2563

ความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน ที่ช่วยลดการพังทลายของชายฝั่ง และสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในจังหวัดจันทบุรี พื้นที่ 113.47 ไร่ โครงการดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER จาก อบก. เมื่อปี 2567 ซึ่งประเมินว่าจะสามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ 3,120 tonCO2e ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี (2566-2576) และยังมีประโยชน์ร่วมในการสร้างความสมดุลระบบนิเวศให้กับสิ่งมีชีวิตชายเลนได้มากขึ้น

เป้าหมายที่ 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ต่อสู้การกลายสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดินและฟื้นสภาพกลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

เป้าประสงค์ 15.1 สร้างหลักประกันว่าจะมีการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ระบบนิเวศบนบกและในน้ำจืดในแผ่นดิน รวมทั้งบริการทางระบบนิเวศอย่างยั่งยืน เฉพาะอย่างยิ่ง ป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ ภูเขา และเขตแห้งแล้ง โดยเป็นไปตามข้อบังคับภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศ ภายในปี 2563

เป้าประสงค์ 15.2 ส่งเสริมการดำเนินการด้านการบริหารจัดการป่าไม้ทุกประเภทอย่างยั่งยืน หยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า ฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรม และเพิ่มการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าทั่วโลก ภายในปี 2563

  • ร่วมมือกับกรมป่าไม้ ดำเนินโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนผ่านการมีส่วนร่วมในการจัดการป่าชุมชน และความหลากหลายทางชีวภาพ ในพื้นที่รวม 6,034 ไร่ โดยดำเนินการปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และอนุรักษ์พื้นที่ป่าชุมชน คาดว่าจะสามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ 23,064.75 tonCO2e ตลอดระยะเวลาโครงการ 15 ปี ซึ่งช่วยให้เกิดการอนุรักษ์และหวงแหนพื้นที่ป่าไม้ สร้างความสมดุลของระบบนิเวศ และประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจให้กับชุมชนควบคู่กันไป
  • สนับสนุนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการอนุรักษ์พื้นที่ป่าชุมชนร่วมกับชุมชน ในพื้นที่ 11,000 ไร่ เพื่อการจัดการคาร์บอนเครดิตจากป่า และฟื้นฟูรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของป่า ควบคู่ไปกับการสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนด้วย